อาการไทรอยด์
Last updated: 3 May 2025
66 Views
อาการไทรอยด์
การวินิจฉัยก้อนที่ต่อมไทรอยด์
การตรวจสอบก้อนที่ต่อมไทรอยด์มักเริ่มจากการตรวจร่างกายโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางต่อมไร้ท่อ การตรวจอาจรวมถึง:
การตรวจเลือด เพื่อตรวจสอบระดับฮอร์โมนไทรอยด์
การตรวจอัลตราซาวด์ (Ultrasound) เพื่อดูขนาดและลักษณะของก้อน
การเจาะเก็บตัวอย่างเนื้อเยื่อ (Fine-needle aspiration) เพื่อตรวจวินิจฉัยความเป็นมะเร็ง
การสแกนไอโอดีน (Thyroid scan) เพื่อวิเคราะห์ว่าก้อนเป็นแบบร้อน (ผลิตฮอร์โมน) หรือเย็น (ไม่ผลิตฮอร์โมน)
การรักษาก้อนที่ต่อมไทรอยด์
แนวทางการรักษาก้อนที่ต่อมไทรอยด์ในผู้ป่วยบางรายไม่จำเป็นต้องรักษาหรือบางรายต้องมีการรักษาตามข้อบ่งชี้ซึ่งขึ้นอยู่กับสาเหตุของก้อน ขนาด ชนิด และอาการของก้อน มีแนวทางดังนี้:
1. การติดตามผล ก้อนที่มีขนาดเล็กและไม่มีอาการอาจไม่ต้องการการรักษา แพทย์จะติดตามผลด้วยการตรวจเป็นระยะ
2. การใช้ยาปรับฮอร์โมนไทรอยด์ หากพบว่าก้อนส่งผลต่อระดับฮอร์โมน ยาปรับฮอร์โมนไทรอยด์อาจช่วยควบคุมได้
3. การใช้ไอโอดีนรังสี เพื่อทำลายเนื้อเยื่อก้อนที่ทำงานมากเกินไป ซึ่งอาจช่วยลดขนาดของก้อนได้
4. การผ่าตัด หากก้อนมีขนาดใหญ่หรือมีความเสี่ยงเป็นมะเร็ง แพทย์อาจแนะนำให้ผ่าตัดเพื่อเอาก้อนออก
5. การรักษาก้อนที่ต่อมไทรอยด์ (Thyroid Nodule) ด้วยวิธีที่ไม่ต้องผ่าตัด (Non-Invasive Techniques เหมาะกับผู้ป่วยที่มีก้อนที่ไม่เป็นมะเร็ง หรือมีขนาดเล็กและไม่ก่อให้เกิดอาการรุนแรง และยังช่วยลดความเสี่ยงจากการผ่าตัด เช่น อาการบวม ความเจ็บปวด และระยะเวลาพักฟื้นที่ยาวนานอีกด้วย
การป้องกันและดูแลต่อมไทรอยด์
1. การบริโภคไอโอดีนเพียงพอ ควรรับประทานอาหารที่มีไอโอดีน เช่น อาหารทะเลและเกลือไอโอดีน
2. การตรวจสุขภาพต่อมไทรอยด์เป็นระยะ โดยเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น มีประวัติครอบครัว
3. การติดตามอาการอย่างใกล้ชิด หากพบว่ามีก้อนที่ลำคอ ควรพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัย
การรับรู้และดูแลภาวะก้อนที่ต่อมไทรอยด์สามารถช่วยให้เราเฝ้าระวังและป้องกันภาวะแทรกซ้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การรักษาก้อนที่ต่อมไทรอยด์ (Thyroid Nodule) ด้วยวิธีที่ไม่ต้องผ่าตัด (Non-Invasive Techniques)
การรักษาก้อนที่ต่อมไทรอยด์ (Thyroid Nodule) โดยไม่ต้องผ่าตัด (Non-Invasive Techniques) ได้รับความนิยมมากขึ้น เนื่องจากสามารถลดความเสี่ยงจากการผ่าตัด เช่น อาการบวม ความเจ็บปวด และระยะเวลาพักฟื้นที่ยาวนาน ความเสี่ยงในการผ่าตัดที่จะทำให้บาดเจ็บต่อเส้นประสาทที่เลี้ยงกล่องเสียง และรวมถึงในแง่ความสวยงามที่จะไม่เกิดแผลเป็นให้เห็นหลังการผ่าตัด การรักษาแบบไม่รุกล้ำเหมาะกับผู้ป่วยที่มีก้อนที่ไม่เป็นมะเร็ง หรือมีขนาดเล็ก สามารถช่วยลดขนาดก้อนหรือลดผลกระทบที่เกิดจากก้อนที่ต่อมไทรอยด์ได้โดยไม่ต้องผ่านการผ่าตัด การรักษานี้มีหลากหลายวิธี ดังนี้
1. การบำบัดด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (High-Intensity Focused Ultrasound - HIFU)
การใช้คลื่นเสียงความถี่สูงในการรักษาก้อนที่ต่อมไทรอยด์ โดยคลื่นเสียงจะถูกส่งผ่านผิวหนังและโฟกัสไปที่ก้อนในต่อมไทรอยด์เพื่อทำลายเนื้อเยื่อภายใน วิธีนี้เหมาะสำหรับก้อนที่ไม่เป็นมะเร็งและไม่ก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อน โดยการรักษาจะช่วยลดขนาดก้อนได้และไม่ก่อให้เกิดแผลภายนอก
ข้อดี:
เป็นวิธีที่ไม่ต้องผ่าตัดและไม่ต้องมีแผล เป็นวิธีเดียวที่สามารถทำได้โดยไม่ต้องใช้เข็ม
มีความแม่นยำสูงและเหมาะสำหรับก้อนขนาดเล็ก
การพักฟื้นรวดเร็ว เพราะไม่ต้องมีการผ่าตัด
ข้อเสีย:
ใช้เวลานานกว่า RFA และ MWA เนื่องจากต้องทำการรักษาด้วยการส่งคลื่นเสียงซ้ำ ๆ
ราคาสูง และยังไม่ได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายในทุกโรงพยาบาล
มีข้อจำกัดในเรื่องการรักษาก้อนที่อยู่ใกล้เส้นประสาทหรืออวัยวะสำคัญ
2. การบำบัดด้วยแอลกอฮอล์ (Ethanol Ablation)
การบำบัดด้วยแอลกอฮอล์เป็นวิธีการฉีดแอลกอฮอล์เข้าไปในก้อนเพื่อลดขนาดและทำให้ก้อนฝ่อ เทคนิคนี้นิยมใช้กับก้อนที่เป็นซีสต์หรือมีน้ำสะสมภายใน โดยแอลกอฮอล์จะช่วยทำลายเซลล์ภายในก้อนและลดขนาดลงอย่างช้าๆ
ข้อดี: ไม่ต้องผ่าตัด เหมาะสำหรับก้อนขนาดเล็กและไม่เป็นมะเร็ง
ข้อเสีย: มีข้อจำกัดได้ผลกับก้อนเนื้องอกที่เป็นถุงน้ำเท่านั้น
3. การใช้คลื่นวิทยุเพื่อทำลายก้อน (Radiofrequency Ablation - RFA)
การรักษาด้วยคลื่นวิทยุ RFA เป็นวิธีการใช้เข็มที่ปล่อยคลื่นความถี่สูงลงไปที่ก้อนเพื่อลดขนาดของก้อน โดยเข็มที่ปล่อยคลื่นจะถูกสอดเข้าไปในก้อนผ่านผิวหนัง เมื่อคลื่นความถี่สูงสัมผัสกับเนื้อเยื่อก้อน เนื้อเยื่อจะถูกทำลายและค่อยๆ ฝ่อไป
ข้อดี:
ได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายในการรักษา Thyroid nodule ที่ไม่เป็นมะเร็ง
มีความแม่นยำสูง สามารถทำลายเนื้อเยื่อที่เป็นก้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ใช้เวลาในการพักฟื้นน้อย ผู้ป่วยสามารถกลับไปใช้ชีวิตปกติได้ภายในวันเดียวกัน
มีความปลอดภัยสูง อัตราการเกิดผลข้างเคียงหรือภาวะแทรกซ้อนต่ำ
ข้อเสีย:
อาจทำให้มีอาการปวดที่บริเวณที่ทำการรักษา
ต้องใช้แพทย์ที่มีประสบการณ์ในการทำ RFA เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
4. การใช้เลเซอร์บำบัด (Laser Ablation Therapy - LAT)
การบำบัดด้วยเลเซอร์เป็นวิธีการใช้แสงเลเซอร์เพื่อทำลายเนื้อเยื่อก้อนในต่อมไทรอยด์ เลเซอร์จะถูกส่งผ่านเข็มเล็ก ๆ ที่สอดเข้าไปในก้อน เมื่อเลเซอร์โฟกัสไปที่ก้อน จะทำให้เนื้อเยื่อค่อยๆ ฝ่อลง
ข้อดี
สามารถควบคุมขนาดและบริเวณการรักษาได้ดี ลดความเสี่ยงของการทำลายเนื้อเยื่อปกติ
ผลข้างเคียงต่ำ สามารถลดขนาดก้อนได้ในระยะยาว
มีประสิทธิภาพในการรักษาก้อนที่มีขนาดเล็กถึงปานกลาง
ข้อเสีย:
ใช้เวลาในการทำค่อนข้างนาน และผู้ป่วยอาจต้องใช้เวลาพักฟื้นบ้าง
ราคาสูงและยังไม่เป็นที่แพร่หลายในทุกที่
อาจทำให้เกิดอาการเจ็บปวดหรือบวมบริเวณที่ทำการรักษา
5. การใช้ไมโครเวฟเพื่อทำลายก้อน (Microwave Ablation - MWA)
การใช้คลื่นไมโครเวฟในการรักษาก้อนที่ต่อมไทรอยด์ถือเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ทันสมัย โดยใช้คลื่นไมโครเวฟผ่านเข็มบางที่สอดเข้าไปในก้อน เนื้อเยื่อในก้อนจะถูกทำลายด้วยคลื่นความร้อนจากไมโครเวฟ ทำให้ก้อนค่อยๆ ลดขนาดลง
ข้อดี:
เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงในการทำลายเนื้องอกขนาดใหญ่
ใช้เวลาทำการรักษาสั้นกว่าวิธี RFA เพราะมีความร้อนที่สูงกว่า ทำให้สามารถทำลายเนื้อเยื่อได้เร็ว
ผลข้างเคียงต่ำ สามารถลดขนาดก้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ข้อเสีย:
การควบคุมอุณหภูมิค่อนข้างยากเมื่อเทียบกับ RFA ซึ่งอาจเสี่ยงต่อการทำลายเนื้อเยื่อรอบข้างได้
มีราคาสูงและยังไม่เป็นที่แพร่หลายเท่ากับ RFA
อาจมีอาการเจ็บปวดหรือแสบร้อนหลังทำ
การดูแลหลังการรักษาแบบไม่รุกล้ำ
การรักษาก้อนที่ต่อมไทรอยด์ด้วยวิธีไม่รุกล้ำมักจะใช้ระยะเวลาฟื้นตัวที่สั้นและมีผลข้างเคียงน้อย แต่ผู้ป่วยควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เช่น
หลีกเลี่ยงการออกแรงหนักในช่วงแรกหลังการรักษา
สังเกตบริเวณที่ทำการรักษาว่ามีการฟกช้ำหรือภาวะเลือดออกหรือไม่
ตรวจติดตามผลการรักษาอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้แน่ใจว่าก้อนได้รับการรักษาอย่างมีประสิทธิภาพ
การวินิจฉัยก้อนที่ต่อมไทรอยด์
การตรวจสอบก้อนที่ต่อมไทรอยด์มักเริ่มจากการตรวจร่างกายโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางต่อมไร้ท่อ การตรวจอาจรวมถึง:
การตรวจเลือด เพื่อตรวจสอบระดับฮอร์โมนไทรอยด์
การตรวจอัลตราซาวด์ (Ultrasound) เพื่อดูขนาดและลักษณะของก้อน
การเจาะเก็บตัวอย่างเนื้อเยื่อ (Fine-needle aspiration) เพื่อตรวจวินิจฉัยความเป็นมะเร็ง
การสแกนไอโอดีน (Thyroid scan) เพื่อวิเคราะห์ว่าก้อนเป็นแบบร้อน (ผลิตฮอร์โมน) หรือเย็น (ไม่ผลิตฮอร์โมน)
การรักษาก้อนที่ต่อมไทรอยด์
แนวทางการรักษาก้อนที่ต่อมไทรอยด์ในผู้ป่วยบางรายไม่จำเป็นต้องรักษาหรือบางรายต้องมีการรักษาตามข้อบ่งชี้ซึ่งขึ้นอยู่กับสาเหตุของก้อน ขนาด ชนิด และอาการของก้อน มีแนวทางดังนี้:
1. การติดตามผล ก้อนที่มีขนาดเล็กและไม่มีอาการอาจไม่ต้องการการรักษา แพทย์จะติดตามผลด้วยการตรวจเป็นระยะ
2. การใช้ยาปรับฮอร์โมนไทรอยด์ หากพบว่าก้อนส่งผลต่อระดับฮอร์โมน ยาปรับฮอร์โมนไทรอยด์อาจช่วยควบคุมได้
3. การใช้ไอโอดีนรังสี เพื่อทำลายเนื้อเยื่อก้อนที่ทำงานมากเกินไป ซึ่งอาจช่วยลดขนาดของก้อนได้
4. การผ่าตัด หากก้อนมีขนาดใหญ่หรือมีความเสี่ยงเป็นมะเร็ง แพทย์อาจแนะนำให้ผ่าตัดเพื่อเอาก้อนออก
5. การรักษาก้อนที่ต่อมไทรอยด์ (Thyroid Nodule) ด้วยวิธีที่ไม่ต้องผ่าตัด (Non-Invasive Techniques เหมาะกับผู้ป่วยที่มีก้อนที่ไม่เป็นมะเร็ง หรือมีขนาดเล็กและไม่ก่อให้เกิดอาการรุนแรง และยังช่วยลดความเสี่ยงจากการผ่าตัด เช่น อาการบวม ความเจ็บปวด และระยะเวลาพักฟื้นที่ยาวนานอีกด้วย
การป้องกันและดูแลต่อมไทรอยด์
1. การบริโภคไอโอดีนเพียงพอ ควรรับประทานอาหารที่มีไอโอดีน เช่น อาหารทะเลและเกลือไอโอดีน
2. การตรวจสุขภาพต่อมไทรอยด์เป็นระยะ โดยเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น มีประวัติครอบครัว
3. การติดตามอาการอย่างใกล้ชิด หากพบว่ามีก้อนที่ลำคอ ควรพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัย
การรับรู้และดูแลภาวะก้อนที่ต่อมไทรอยด์สามารถช่วยให้เราเฝ้าระวังและป้องกันภาวะแทรกซ้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การรักษาก้อนที่ต่อมไทรอยด์ (Thyroid Nodule) ด้วยวิธีที่ไม่ต้องผ่าตัด (Non-Invasive Techniques)
การรักษาก้อนที่ต่อมไทรอยด์ (Thyroid Nodule) โดยไม่ต้องผ่าตัด (Non-Invasive Techniques) ได้รับความนิยมมากขึ้น เนื่องจากสามารถลดความเสี่ยงจากการผ่าตัด เช่น อาการบวม ความเจ็บปวด และระยะเวลาพักฟื้นที่ยาวนาน ความเสี่ยงในการผ่าตัดที่จะทำให้บาดเจ็บต่อเส้นประสาทที่เลี้ยงกล่องเสียง และรวมถึงในแง่ความสวยงามที่จะไม่เกิดแผลเป็นให้เห็นหลังการผ่าตัด การรักษาแบบไม่รุกล้ำเหมาะกับผู้ป่วยที่มีก้อนที่ไม่เป็นมะเร็ง หรือมีขนาดเล็ก สามารถช่วยลดขนาดก้อนหรือลดผลกระทบที่เกิดจากก้อนที่ต่อมไทรอยด์ได้โดยไม่ต้องผ่านการผ่าตัด การรักษานี้มีหลากหลายวิธี ดังนี้
1. การบำบัดด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (High-Intensity Focused Ultrasound - HIFU)
การใช้คลื่นเสียงความถี่สูงในการรักษาก้อนที่ต่อมไทรอยด์ โดยคลื่นเสียงจะถูกส่งผ่านผิวหนังและโฟกัสไปที่ก้อนในต่อมไทรอยด์เพื่อทำลายเนื้อเยื่อภายใน วิธีนี้เหมาะสำหรับก้อนที่ไม่เป็นมะเร็งและไม่ก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อน โดยการรักษาจะช่วยลดขนาดก้อนได้และไม่ก่อให้เกิดแผลภายนอก
ข้อดี:
เป็นวิธีที่ไม่ต้องผ่าตัดและไม่ต้องมีแผล เป็นวิธีเดียวที่สามารถทำได้โดยไม่ต้องใช้เข็ม
มีความแม่นยำสูงและเหมาะสำหรับก้อนขนาดเล็ก
การพักฟื้นรวดเร็ว เพราะไม่ต้องมีการผ่าตัด
ข้อเสีย:
ใช้เวลานานกว่า RFA และ MWA เนื่องจากต้องทำการรักษาด้วยการส่งคลื่นเสียงซ้ำ ๆ
ราคาสูง และยังไม่ได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายในทุกโรงพยาบาล
มีข้อจำกัดในเรื่องการรักษาก้อนที่อยู่ใกล้เส้นประสาทหรืออวัยวะสำคัญ
2. การบำบัดด้วยแอลกอฮอล์ (Ethanol Ablation)
การบำบัดด้วยแอลกอฮอล์เป็นวิธีการฉีดแอลกอฮอล์เข้าไปในก้อนเพื่อลดขนาดและทำให้ก้อนฝ่อ เทคนิคนี้นิยมใช้กับก้อนที่เป็นซีสต์หรือมีน้ำสะสมภายใน โดยแอลกอฮอล์จะช่วยทำลายเซลล์ภายในก้อนและลดขนาดลงอย่างช้าๆ
ข้อดี: ไม่ต้องผ่าตัด เหมาะสำหรับก้อนขนาดเล็กและไม่เป็นมะเร็ง
ข้อเสีย: มีข้อจำกัดได้ผลกับก้อนเนื้องอกที่เป็นถุงน้ำเท่านั้น
3. การใช้คลื่นวิทยุเพื่อทำลายก้อน (Radiofrequency Ablation - RFA)
การรักษาด้วยคลื่นวิทยุ RFA เป็นวิธีการใช้เข็มที่ปล่อยคลื่นความถี่สูงลงไปที่ก้อนเพื่อลดขนาดของก้อน โดยเข็มที่ปล่อยคลื่นจะถูกสอดเข้าไปในก้อนผ่านผิวหนัง เมื่อคลื่นความถี่สูงสัมผัสกับเนื้อเยื่อก้อน เนื้อเยื่อจะถูกทำลายและค่อยๆ ฝ่อไป
ข้อดี:
ได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายในการรักษา Thyroid nodule ที่ไม่เป็นมะเร็ง
มีความแม่นยำสูง สามารถทำลายเนื้อเยื่อที่เป็นก้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ใช้เวลาในการพักฟื้นน้อย ผู้ป่วยสามารถกลับไปใช้ชีวิตปกติได้ภายในวันเดียวกัน
มีความปลอดภัยสูง อัตราการเกิดผลข้างเคียงหรือภาวะแทรกซ้อนต่ำ
ข้อเสีย:
อาจทำให้มีอาการปวดที่บริเวณที่ทำการรักษา
ต้องใช้แพทย์ที่มีประสบการณ์ในการทำ RFA เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
4. การใช้เลเซอร์บำบัด (Laser Ablation Therapy - LAT)
การบำบัดด้วยเลเซอร์เป็นวิธีการใช้แสงเลเซอร์เพื่อทำลายเนื้อเยื่อก้อนในต่อมไทรอยด์ เลเซอร์จะถูกส่งผ่านเข็มเล็ก ๆ ที่สอดเข้าไปในก้อน เมื่อเลเซอร์โฟกัสไปที่ก้อน จะทำให้เนื้อเยื่อค่อยๆ ฝ่อลง
ข้อดี
สามารถควบคุมขนาดและบริเวณการรักษาได้ดี ลดความเสี่ยงของการทำลายเนื้อเยื่อปกติ
ผลข้างเคียงต่ำ สามารถลดขนาดก้อนได้ในระยะยาว
มีประสิทธิภาพในการรักษาก้อนที่มีขนาดเล็กถึงปานกลาง
ข้อเสีย:
ใช้เวลาในการทำค่อนข้างนาน และผู้ป่วยอาจต้องใช้เวลาพักฟื้นบ้าง
ราคาสูงและยังไม่เป็นที่แพร่หลายในทุกที่
อาจทำให้เกิดอาการเจ็บปวดหรือบวมบริเวณที่ทำการรักษา
5. การใช้ไมโครเวฟเพื่อทำลายก้อน (Microwave Ablation - MWA)
การใช้คลื่นไมโครเวฟในการรักษาก้อนที่ต่อมไทรอยด์ถือเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ทันสมัย โดยใช้คลื่นไมโครเวฟผ่านเข็มบางที่สอดเข้าไปในก้อน เนื้อเยื่อในก้อนจะถูกทำลายด้วยคลื่นความร้อนจากไมโครเวฟ ทำให้ก้อนค่อยๆ ลดขนาดลง
ข้อดี:
เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงในการทำลายเนื้องอกขนาดใหญ่
ใช้เวลาทำการรักษาสั้นกว่าวิธี RFA เพราะมีความร้อนที่สูงกว่า ทำให้สามารถทำลายเนื้อเยื่อได้เร็ว
ผลข้างเคียงต่ำ สามารถลดขนาดก้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ข้อเสีย:
การควบคุมอุณหภูมิค่อนข้างยากเมื่อเทียบกับ RFA ซึ่งอาจเสี่ยงต่อการทำลายเนื้อเยื่อรอบข้างได้
มีราคาสูงและยังไม่เป็นที่แพร่หลายเท่ากับ RFA
อาจมีอาการเจ็บปวดหรือแสบร้อนหลังทำ
การดูแลหลังการรักษาแบบไม่รุกล้ำ
การรักษาก้อนที่ต่อมไทรอยด์ด้วยวิธีไม่รุกล้ำมักจะใช้ระยะเวลาฟื้นตัวที่สั้นและมีผลข้างเคียงน้อย แต่ผู้ป่วยควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เช่น
หลีกเลี่ยงการออกแรงหนักในช่วงแรกหลังการรักษา
สังเกตบริเวณที่ทำการรักษาว่ามีการฟกช้ำหรือภาวะเลือดออกหรือไม่
ตรวจติดตามผลการรักษาอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้แน่ใจว่าก้อนได้รับการรักษาอย่างมีประสิทธิภาพ
Related Content
ก้อนที่ต่อมไทรอยด์ (Thyroid Nodule)
ก้อนที่ต่อมไทรอยด์ หรือ Thyroid Nodule เป็นภาวะที่เกิดขึ้นเมื่อมีการก่อตัวของก้อนเนื้อในต่อมไทรอยด์ ซึ่งอยู่บริเวณด้านหน้าของลำคอใกล้กับลูกกระเดือก ก้อนเหล่านี้สามารถเกิดได้หลายรูปแบบ อาจเป็นเนื้อเยื่อธรรมดาหรือเนื้อเยื่อผิดปกติ และอาจเป็นได้ทั้งแบบมีพิษหรือไม่มีพิษ ส่วนใหญ่ก้อนที่ต่อมไทรอยด์มักไม่ก่อให้เกิดอาการใด ๆ แต่ในบางกรณีสามารถส่งผลต่อการทำงานของต่อมไทรอยด์หรือก่อให้เกิดภาวะไทรอยด์เป็นพิษได้